ผลการดำเนินงานมิติสังคม
ฐานข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน ESG – มิติสังคม
1. การเคารพสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม
นโยบายสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ ตระหนักถึงความสำคัญและให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร คณะกรรมการบริษัทจึงได้กำหนดนโยบายทางสังคมเพื่อเป็นแนวทางสำหรับบุคลากรทุกคนในการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตามหลักสิทธิมนุษยชน ได้แก่ นโยบายสิทธิมนุษยชน นโยบายเพื่อความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายว่าด้วยการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียน และข้อพึงปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและข้อปฏิบัติทางจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน โดยสามารถดูนโยบายและแนวปฏิบัติฉบับเต็มที่ www.teamgroup.co.th ภายใต้หัวข้อ “นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี”
กระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD)
บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน และสังคมโดยรอบ โดยยึดหลักความเสมอภาคและเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน ไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน และไม่เลือกปฏิบัติหรือกีดกันบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพศ ภาษา อายุ ความทุพพลภาพ การศึกษา หรือสถานะทางสังคม ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มได้รับการดูแลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสมและเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมาย บริษัทได้มอบหมายให้คณะทำงานด้านบรรษัทภิบาลและความยั่งยืนดูแลและป้องกันไม่ให้ธุรกิจของบริษัทเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้แรงงานเด็ก หรือการคุกคามทางเพศ โดยตั้งเป้าหมายการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นศูนย์ (0 กรณี) และกำหนดกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนทุก 3 ปี รวมถึงจัดให้มีช่องทางสำหรับการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนต่าง ๆ
ในปี 2567 บริษัทไม่มีกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในองค์กรและในห่วงโซ่อุปทาน และไม่ได้รับข้อร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาถึงแนวทางการชดเชยที่เหมาะสม ทั้งในรูปแบบการชดใช้ค่าเสียหาย การชดเชยทางการเงินหรือไม่ใช่ทางการเงิน รวมถึงการดำเนินมาตรการการป้องกันและแก้ไขไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำ ตามกระบวนการตรวจสอบและกลไกการเยียวยาหากเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับปี 2568 บริษัทมีแผนดำเนินการจัดทำนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล อาทิ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) และ ข้อกำหนดด้านสิทธิแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO)
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนดำเนินการสื่อสาร เผยแพร่ และอบรมเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวให้แก่พนักงานทุกคน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และมีแผนประเมินผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยจะดำเนินกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสม่ำเสมอ โดยกระบวนการดังกล่าวประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

สามารถดูรายละเอียดกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านที่เว็บไซต์บริษัทภายใต้หัวข้อ “นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี”
การปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชน
1. การจ่ายค่าตอบแทนพนักงานอย่างเป็นธรรม
1) ค่าตอบแทนพนักงาน
บริษัทมีนโยบายการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมสอดคล้องกับภาระหน้าที่และผลการปฏิบัติงานของพนักงานและสามารถแข่งขันได้ในตลาด โดยออกแบบระบบค่าตอบแทนที่มีความยุติธรรม โปร่งใส ปราศจากการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำงานอยู่ส่วนใด ฝ่ายใด อายุ หรือ เพศใด ๆ โดยยึดหลักบริหารความเป็นธรรม (Equity) จะต้องมีความเท่าเทียมกันสำหรับผู้ที่ทำงานในระดับหน้าที่และความรับผิดชอบและความยากง่ายของงานที่เทียบเคียงกันได้ การกำหนดค่าตอบแทนให้สามารถดึงดูดบุคลากรคุณภาพ สอดคล้องกับการจ้างงานในตลาดแรงงานและการขยายตัวของบริษัท ตลอดจนกำหนดการวัดผลการปฏิบัติงาน (Performance) และสมรรถนะ (Competency) เพื่อนำผลประเมินการทำงานไปประกอบการพิจารณาค่าตอบแทนพนักงานอย่างเป็นธรรมและเหมาะสมกับศักยภาพและบทบาทหน้าที่ของพนักงาน โดยปีที่ผ่านมา บริษัทจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1,015 ล้านบาท โดยเป็นค่าตอบแทนในรูปแบบของเงินเดือน เงินรางวัลประจำปี ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยเลี้ยง เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และค่าตอบแทนอื่น ๆ

2) สวัสดิการสำหรับพนักงาน
บริษัทจัดให้มีสวัสดิการพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนด และสวัสดิการเพิ่มเติมจากสวัสดิการพื้นฐานให้กับพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ตอบสนองความต้องการของพนักงาน มีความคุ้มค่าเหมาะสมกับงบประมาณขององค์กร รวมทั้งสื่อสารข้อมูลสวัสดิการให้พนักงานทราบอย่างชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดสวัสดิการที่เหมาะสมผ่านตัวแทนของพนักงาน โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบการ (Welfare Committee) ตามมาตรา 96 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้
- ร่วมหารือกับผู้บริหาร เพื่อจัดสวัสดิการแก่พนักงาน
- ให้คำปรึกษาหารือและเสนอแนะความเห็นแก่บริษัทในการจัดสวัสดิการสำหรับพนักงาน
- ตรวจตรา ควบคุม ดูแล การจัดสวัสดิการที่บริษัทจัดให้แก่พนักงาน
- เสนอข้อคิดเห็นและแนวทางในการจัดสวัสดิการที่เป็นประโยชน์สำหรับพนักงานต่อคณะกรรมการสวัสดิการและแรงงาน
โดยสวัสดิการพื้นฐานที่บริษัทจัดให้พนักงาน ได้แก่ กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้บริษัทยังมีการมอบสวัสดิการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้
- การประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลแบบกลุ่ม
- การตรวจสุขภาพประจำปี
- เงินช่วยเหลือฌาปนกิจ และเงินช่วยเหลือกรณีพนักงานเสียชีวิต
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- ค่าเยี่ยมคลอด
- รางวัลอายุงาน
- การฉีดวัคซีนประจำปี
- เงินกู้
- เงินสนับสนุนการเป็นสมาชิกสถานออกกำลังกาย (กิจกรรมแอโรบิค โยคะ และแบดมินตัน)
- ค่าเยี่ยมกรณีพนักงานเจ็บป่วย
นอกจากนี้ บริษัทให้จัดให้พนักงานได้รับผลประโยชน์เมื่อเกษียณอายุตามกฎหมายแรงงานในประเทศไทยและนโยบายการจ้างงานของบริษัท โดยพนักงานที่ทำงานครบ 120 วัน มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเนื่องจากการเลิกจ้าง หรือเมื่อทำงานครบอายุเกษียณตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ 400 วัน ของเงินเดือน ๆ สุดท้าย ตลอดจนมอบผลประโยชน์ระยะยาวอื่น ๆ ได้แก่ การมอบรางวัลให้แก่พนักงานที่ทำงานครบ 10 ปี 15 ปี 20 ปี และ 25 ปี
2. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร
บริษัทมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขประเด็นหลักเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากร โดยตระหนักว่าบุคลากรเป็นทรัพยากรหลักในธุรกิจที่ปรึกษา ความสำเร็จของการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับบุคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ จากการตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาพนักงาน จึงได้กำหนดให้เป็นประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนที่มีความสำคัญสูงสุด โดยบริษัทมุ่งพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ความสามารถและทักษะหลากหลายด้าน เพื่อพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสำเร็จขององค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2567 บริษัทได้สนับสนุนและส่งเสริมให้พนักงานและผู้บริหารเข้ารับการอบรม อย่างต่อเนื่อง ทั้งจาก หน่วยงานภายในและสถาบันภายนอก ส่งผลให้มีชั่วโมงอบรมเฉลี่ย 31.53 ชั่วโมงต่อคน ซึ่ง สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 25 ชั่วโมงต่อคนต่อปี

สำหรับปี 2568 บริษัทมีแนวทางในการ ขยายโอกาสการเรียนรู้ของพนักงาน โดยตั้งเป้าหมายให้พนักงานได้รับการฝึกอบรมเฉลี่ย 25 ชั่วโมง/คน/ปี พร้อมพัฒนา หลักสูตร e-Learning และเพิ่มการอบรมผ่านการดูงานนอกสถานที่ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายบริษัทจะดำเนินการ วิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรม ควบคู่กับการส่งเสริมความรู้และพัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพของพนักงาน เพื่อให้การพัฒนาทักษะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนเป้าหมายการเติบโตขององค์กร และส่งเสริมความก้าวหน้าทางอาชีพของพนักงานให้เติบโตได้อย่างมั่นคง
3. การใช้แรงงานเด็ก
บริษัทปฏิบัติตามนโยบาย และจรรยาบรรณทางธุรกิจในเรื่องการใช้แรงงานเด็กอย่างเคร่งครัด เช่น การตรวจสอบอายุของบุคลากรก่อนการจ้างงานทุกครั้ง ตามพรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หมวด ๔ การใช้แรงงานเด็ก (มาตรา ๔๔-๕๒) เป็นต้น โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บุคลากรในกลุ่มบริษัท มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 21-65 ปี โดยในปี 2567 บริษัทฯ ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการใช้แรงงานเด็ก และยังคงยึดมั่นในนโยบาย ไม่ใช้และไม่สนับสนุนการใช้แรงงานเด็กหรือการค้ามนุษย์ ในทุกกรณี พร้อมดำเนินมาตรการเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัดต่อไปในปี 2568 และปีถัด ๆ ไป
4. ความผูกพันของพนักงาน
บริษัทให้ความสำคัญกับ ความผูกพันของพนักงาน (Employee Engagement) เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร พนักงานที่มีความผูกพันสูงมักมีแรงจูงใจในการทำงาน มีความภักดีต่อองค์กร และพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อบรรลุเป้าหมายของบริษัท ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จและการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร
เพื่อให้สามารถติดตามและพัฒนาความผูกพันของพนักงานอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้กำหนดให้มีการประเมินความผูกพันของพนักงานปีละ 1 ครั้ง โดยการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงาน ความพึงพอใจ และปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแนวทางในการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง และปรับปรุงสวัสดิการ รวมถึงนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น ในปี 2567 บริษัทมีผลสำรวจความผูกพันของพนักงาน ที่ 77.55%
ในด้านอัตราการลาออกของพนักงาน ปี 2567 มีพนักงานลาออกโดยสมัครจำนวน 142 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 15.50 ของพนักงานทั้งหมด ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการลาออกที่ร้อยละ 12.67
ผลสำรวจความผูกพันของพนักงาน ปี 2567

ผลการดำเนินงานการสำรวจความผูกพันของพนักงานเปรียบเทียบกับเป้าหมาย

อัตราการลาออกของพนักงานโดยสมัครใจ

5. การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน
บริษัทได้กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยครอบคลุมทั้งด้านผลการปฏิบัติงาน (Performance) และด้านสมรรถนะ (Competency) เพื่อให้การประเมินผลการทำงานของพนักงานมีความชัดเจน และพัฒนาให้พนักงานมีความสามารถที่เหมาะสมในการทำงานในบทบาทของตัวเอง โดยจัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานปีละ 2 ครั้ง และประเมินด้านสมรรถนะ ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งผู้บังคับบัญชาและพนักงานจะได้หารือร่วมกันเพื่อพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ และนำ ผลการประเมินรายบุคคล มาพิจารณากำหนดค่าตอบแทนประจำปี เพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของพนักงานและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน รวมทั้งการนำผลการประเมินไปวิเคราะห์เพื่อพิจารณาโครงการและหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานต่อไป
6. ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน
บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของพนักงานรวมถึงคู่ค้าที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานของบริษัทมาโดยตลอด และเพื่อให้พนักงานทุกคนตระหนักถึงการทำงานด้วยความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า คู่ค้า และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงส่งเสริมให้ผู้บริหารและพนักงานดำเนินการตามนโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของบริษัทอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน โดยในปี 2567 มีผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน ดังนี้
บันทึกสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน

ผลการดำเนินการและเป้าหมายด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของพนักงาน

2. การมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม
ชุมชนและสังคมเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทดำเนินงานในฐานะที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้าไปทำงานในพื้นที่ของชุมชน โครงการก่อสร้างอาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อชุมชนในหลายด้าน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลภาวะทางเสียงและฝุ่นละออง ความสะดวกในการสัญจรของประชาชน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้น ๆ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของชุมชนและส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร หรืออาจจะเกิดการร้องเรียนหรือเกิดข้อพิพาททางกฎหมาย บริษัทจึงกำหนดกลยุทธ์ในดำเนินงานเพื่อพัฒนาชุมและลดผลกระทบต่อชุมชนและสังคม โดยดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและมุ่งมั่นในการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนรอบพื้นที่อาคารทีมและโครงการที่บริษัทเข้าไปทำงานอย่างต่อเนื่อง การประเมินและติดตามตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และกำหนดมาตรการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ได้แก่
1. พัฒนาคุณภาพชีวิต
1) การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน
- บริษัทคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนจากการดำเนินงานก่อสร้างของบริษัท จึงจัดให้มีการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนความสะดวกสบายของคนในพื้นที่และผู้ใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่คือประชาชนในท้องถิ่น ผ่านการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่คำนึงถึงความยั่งยืน เช่น การออกแบบสถานีรถไฟให้สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้พิการ และการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
- จัดอบรมให้กับชุมชนเกี่ยวกับมาตรฐานการก่อสร้างที่ปลอดภัย และการบริหารโครงการ เพื่อให้ชุมชนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาต่อไปได้
2) การบริจาคเงินและสิ่งของ
บริษัทให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง คือ การบริจาคปฏิทินตั้งโต๊ะใช้แล้วเพื่อสนับสนุนการผลิตสื่ออักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตา โดยบริษัทได้รวบรวมปฏิทินตั้งโต๊ะของปี 2567 ที่ใช้แล้วจากพนักงาน เพื่อส่งมอบให้กับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์สำหรับผลิตสื่ออักษรเบรลล์แก่ผู้พิการทางสายตา โดยรวบรวมได้ จำนวน 1,500 ฉบับ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 11
3) จิตอาสาเพื่อสังคม
บริษัทให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมผ่านกิจกรรมจิตอาสา โดยสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินโครงการจิตอาสา ดังนี้
- บริษัทช่วยเหลือสังคมภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ โดยสนับสนุนเงินผ่านสภากาชาดไทย สนับสนุนเงินให้กับมูลนิธิเพื่อการพัฒนา สนับสนุนจัดซื้อรถวีลแชร์ ให้กับสมาคมคนพิการกรุงเทพมหานคร สนับสนุนจัดซื้อเตียงผู้ป่วยแบบปรับระดับ ให้กับสมาคมแพทย์อาสา และสนับสนุนแก่ชมรมคนหูหนวก จังหวัดนนทบุรี มูลค่ารวม 110,000 บาท
- บริษัทเชิญชวนผู้บริหารและพนักงานในกลุ่มบริษัท ร่วมทำความดีสานต่อการให้ที่ยิ่งใหญ่ โดยร่วมบริจาคโลหิต ในปี 2567 และได้รับปริมาณโลหิตทั้งหมด 62,000 ซีซี ซึ่งบริษัทดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 33
- บริษัทตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญ ผ่านกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ร่วมกับ มูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ และชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน สมุทรปราการ ปลูกต้นโกงกางจำนวน 500 ต้น บนพื้นที่ 2 ไร่ ซึ่งป่าชายเลน (mangrove forests) นั้นมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยดูดซับและเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sink) อีกทั้งยังเป็นแนวกันคลื่นให้กับชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 ที่บริษัทให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนสู่ทุกภาคส่วน
2. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น การดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน การสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือที่ดีระหว่างบริษัทและชุมชน ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ในขณะที่ชุมชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและโอกาสทางเศรษฐกิจเมื่อมีบริษัทเข้าไปดำเนินงาน เป็นต้น บริษัทจึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านการเป็นที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานในชุมชน ดังนี้
- ส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ผ่านการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งงานในบริษัทหรือบริษัทพันธมิตรที่ร่วมดำเนินงาน
- สนับสนุนอาชีพเสริมหรือการพัฒนาทักษะเพื่อให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ อาทิ ฝึกอบรมชาวบ้านให้เป็นช่างไฟฟ้า ช่างปูน ช่างไม้ หรือช่างประปา เพื่อให้สามารถรับงานซ่อมแซมภายในชุมชนได้
3. เพิ่มผลผลิตทางความรู้
ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมแบบบูรณาการ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรมโยธา ระบบราง โครงสร้างพื้นฐาน การบริหารโครงการ สิ่งแวดล้อม การบริหารทรัพยากรน้ำ และพลังงาน เป็นต้น บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนและสังคม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในด้านวิศวกรรมและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีโครงการที่ส่งเสริมการให้ความรู้ในด้าน วิศวกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นการให้ความรู้กับ เยาวชน นักลงทุน ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไป ดังนี้
- บริษัทมีเป้าหมายเพื่อให้เยาวชนมีความเข้าใจในกระบวนการทำงานด้านวิศวกรรมและได้รับแนะแนวอาชีพ โดยในปี 2567 บริษัทได้นำนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5-6 จากโรงเรียนนครสวรรค์ ที่สนใจอาชีพวิศวกร เข้ามาศึกษาดูงานในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ พร้อมแนะแนวอาชีพแก่นักเรียนจำนวน 50 คน ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการและสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ 110 คน ปัจจุบัน บริษัทได้รับนักเรียนจากโครงการศึกษาแหล่งเรียนรู้มุ่งสู่วิศวะเข้าทำงานในตำแหน่งวิศวกร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10
- บริษัทร่วมกับมูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ ดำเนินโครงการทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 สนับสนุนเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน / อาหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือ เพิ่มโอกาสให้เด็กที่ขาดแคลน แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครองที่มีรายได้น้อย โดยในปี 2567 บริษัทได้สนับสนุนการศึกษาให้กับโรงเรียนและนักเรียน จำนวน 400 ทุน มูลค่า 754,200 บาท ในจังหวัดนครสวรรค์ นครนายก เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร
- ด้วยบริษัทเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรและสิ่งแวดล้อมที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในหลากหลายสาขา จึงมุ่งเน้นสนับสนุนชุมชนและสังคมผ่านกระบวนการทางธุรกิจ ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญของบริษัทสู่สาธารณะ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผน การตัดสินใจ ต่อยอดองค์ความรู้เพื่อการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ในหลายช่องทาง ดังนี้
- บรรยายให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนสถาบันต่าง ๆ อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นต้น ในหลากหลายประเด็น อาทิ Climate Change ลานีญา น้ำท่วมและการแก้ปัญหาของรัฐบาล เพื่อให้นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน ได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจให้แก่ภาคธุรกิจนักลงทุน และประชาชนที่สนใจได้ทราบ โดยในการบรรยายเรื่อง น้ำท่วมและการแก้ปัญหาของรัฐบาล มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเข้าฟังประมาณ 20 แห่ง
- และสัมภาษณ์ผ่านสื่อ หัวข้อ “วิกฤตน้ำท่วมเชียงใหม่ แล้วภาคกลาง และ กทม.จะเป็นอย่างไร” ทาง PPTV36 รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในสื่อต่าง ๆ เช่น Thai PBS TV3 TV55 TNN16, ThaiPBS, NBT, PPTV36, NationTV, Business Tomorrow, Suthichai live รายการ 360 องศา Go Green, The Standard ไทยรัฐ ประชาชาติธุรกิจ ทันหุ้น ข่าวสด มติชน กรุงเทพธุรกิจ เป็นต้น โดยในปี 2567 บริษัท ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องสถานการณ์น้ำ และ Climate Change ผ่านสื่อต่าง ๆ จำนวน 40 ครั้ง เพื่อให้ประชาชนสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการรับมือกับสถานการณ์และประกอบการตัดสินใจ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
- จัดทำรายการ Talk to TEAM เป็นการบรรยายให้ความรู้เรื่อง เกี่ยวกับ PM2.5 ผ่าน Social media ของบริษัท เช่น YouTube, Facebook Fanpage “TEAMGConsult”, และ Website โดยมียอดผู้ชมรวมทุกช่องทางจำนวนมากกว่า 2,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568)
ผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับเป้าหมาย
ในปี 2567 ไม่มีข้อร้องเรียนจากชุมชนโดยรอบพื้นที่อาคารทีมและโครงการที่บริษัทไปทำงานในประเด็นด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อม หรือพบข้อร้องเรียนจากชุมชน 0 กรณี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ตารางแสดงผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับเป้าหมาย
