ด้านเศรษฐกิจ

/
ด้านเศรษฐกิจ

ผลการดำเนินงานมิติเศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล

ฐานข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน ESG – มิติเศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล

1. การกำกับดูแลกิจการ

ภาพรวมของนโยบายและแนวปฏิบัติการกำกับดูแลกิจการ 

บริษัทยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณธุรกิจในการดำเนินธุรกิจ สามารถสร้างผลประโยชน์ที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตลอดจนสร้างคุณค่าให้กิจการอย่างยั่งยืน และได้ยึดมั่นเป็นแนวทางและกลไกในการบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และผู้ถือหุ้น ซึ่งการจัดโครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการดังกล่าวจะต้องสะท้อนถึงหลักการสำคัญดังต่อไปนี้

  1. Accountability ความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระทำของตนเอง สามารถชี้แจงและอธิบายการตัดสินใจนั้นได้
  2. Responsibility ความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ด้วยขีดความสามารถและประสิทธิภาพที่เพียงพอ
  3. Equitable Treatment การปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียมกัน และยุติธรรม
  4. Transparency ความโปร่งใสในการดำเนินงานที่สามารถตรวจสอบได้ และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
  5. Vision to Create Long-Term Value การมีวิสัยทัศน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรในระยะยาว
  6. Ethics การมีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทได้ทำการเผยแพร่นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจริยธรรมธุรกิจไว้บนเว็บไซต์ของบริษัท สาระสำคัญของการกำกับดูแลกิจการแบ่งออกเป็น 8 หมวด ได้แก่

  • หมวดที่ 1 : สิทธิของผู้ถือหุ้น
  • หมวดที่ 2 : การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน
  • หมวดที่ 3 : บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย
  • หมวดที่ 4 : การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส
  • หมวดที่ 5 : ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ
  • หมวดที่ 6 : จริยธรรมทางธุรกิจ
  • หมวดที่ 7 : นโยบายที่สำคัญและการติดตามดูแลให้มีการปฏิบัติ
  • หมวดที่ 8 : นโยบายการต่อต้านทุจริต

โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัท

คณะกรรมการบริษัทประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความหลากหลายในด้านทักษณะความชำนาญ ความรู้ ประสบการณ์ เพศ และอายุ อันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งบริษัทมีคณะกรรมการจำนวน 9 ท่าน โดยกรรมการบริษัททั้ง 9 ท่าน มีกรรมการที่เป็นเพศหญิง 1 ท่าน และมีกรรมการที่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการอิสระ 6 ท่านของกรรมการทั้งหมดเพื่อเป็นการถ่วงดุลคณะกรรมการ โดยคุณสมบัติของกรรมการอิสระเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด

การสรรหากรรมการบริษัท

คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาผลตอบแทนจะพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท ตามข้อกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกฎบัตรคณะกรรมการบริษัท โดยคำนึงถึงความหลากหลายในโครงสร้างคณะกรรมการ (Board Skills Matrix) เช่น ความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท และความสามารถในการบริหารกิจการของบริษัท โดยไม่จำกัดเพศ และอายุ รวมทั้ง พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานและการอุทิศเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ โดยได้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการบริษัทไว้บนเว็บไซต์บริษัท www.teamgroup.co.th ภายใต้หัวข้อ “รู้จักทีมกรุ๊ป > คณะกรรมการบริษัท

การจัดตั้งกรรมการชุดย่อย

คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดย่อยชุดต่าง ๆ 7 คณะ เพื่อติดตามและกำกับการดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาผลตอบแทน คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน คณะกรรมการประเมินผลงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ โดยได้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการชุดย่อยไว้บนเว็บไซต์บริษัท www.teamgroup.co.th ภายใต้หัวข้อ “รู้จักทีมกรุ๊ป > คณะกรรมการบริษัท > เลือกดูรายชื่อคณะกรรมการชุดย่อยแต่ละคณะ

การสรรหาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ต้องเป็นมีผู้ที่ประสบการณ์วิชาชีพด้านวิศวกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 20 ปี และคุณสมบัติเฉพาะด้านต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ตลอดจนความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นที่เป็นปัจจัยสำคัญ อาทิ ความซื่อสัตย์และมีจริยธรรม (Integrity & Ethics) การมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Vision) มีความมุ่งมั่น (Tenacity) มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจ (Motivating & Inspiring) มีความสามารถในการสอนงาน (Coaching) มีความสามารถในการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ (Building Collaborative Network) มีทักษะภาวะผู้นำ (Leadership) มีความสามารถในการบริหารทรัพยากร งาน / คน / เงิน (Resources Management) และมีความสามารถในการพัฒนาธุรกิจ (Business Development) มีการปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability & Flexibility) โดยคณะกรรมการสรรหาและพิจารณาผลตอบแทนจะกลั่นกรองคุณสมบัติอย่างละเอียด รอบด้าน และโปร่งใส เสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาแต่งตั้งบุคคลที่มีความเหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท

การประเมินตนเองของคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการชุดย่อย

ปี 2567 คณะกรรมการบริษัทกำหนดให้มีการประเมินตนเองของคณะกรรมการบริษัท (ประเมินทั้งคณะ) ประจำปี 2567 และการประเมินตนเองคณะกรรมการรายบุคคล (ประเมินตนเอง) ประจำปี 2567 ตลอดจนการประเมินผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการชุดย่อย โดยได้นำแนวทางการประเมินฯ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาปรับใช้ให้มีความเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจและโครงสร้างของบริษัท เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท รวมถึงพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัท โดยมีผลการประเมิน ดังนี้

การประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

เพื่อเป็นการติดตามและทบทวนการบริหารงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำปี โดยให้คณะกรรมการประเมินผลงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมกับคณะกรรมการสรรหาและพิจารณาผลตอนแทน พิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท โดยได้กำหนดเกณฑ์การประเมินผลงานเพื่อให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมีการบริหารกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายหลัก กลยุทธ์ และสอดคล้องกับผลประโยชน์ของกิจการในระยะยาว และมีการสื่อสารให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทราบเกณฑ์การประเมินเป็นการล่วงหน้า โดยประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งการบริหารด้านการเงิน อาทิ รายได้ กำไรสุทธิ มูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ ตามที่คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืนของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คิดเป็นร้อยละ 40 ของตัวชี้วัด อาทิ ระดับความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้เสีย จำนวนประโยชน์หรือผลตอบแทนทางสังคมในเชิงปริมาณที่เกิดขึ้นต่อชุมชนหรือสังคม การลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา กระดาษ เชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์บริษัท ลดปริมาณขยะ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร จำนวนโครงการที่ให้บริการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำนวนชั่วโมงรวมที่บาดเจ็บถึงขั้นหยุดงานของพนักงานบริษัท การป้องกันและดำเนินการเมื่อเกิดการทุจริตหรือละเมิดจรรยาบรรณในองค์กร โดยมีหลักเกณฑ์การประเมิน แบ่งเป็น 4 ส่วนหลักดังนี้

  • ส่วนที่ 1 การวัดผลการปฏิบัติจากดัชนีชี้วัดผลสำเร็จขององค์กร (Corporate Key Performance Indicators) และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล
  • ส่วนที่ 2 การวัดประสิทธิภาพในการบริหารงาน (Competency-based)
  • ส่วนที่ 3 การวัดทักษะการบริหารจัดการ (Management Skills-based)
  • ส่วนที่ 4 การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล
  • ส่วนที่ 5 สรุปผลการประเมินโดยรวม

วิธีการและขั้นตอนการประเมิน

  1. คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการกำหนดหลักเกณฑ์และแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  2. คณะกรรมการบริษัท แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (“คณะกรรมการประเมินผลฯ”) โดยกระบวนการประเมินผลงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีดังนี้
    • 1) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประเมินตนเองตามแบบประเมิน และนำส่งผลการประเมินตนเองให้กับคณะกรรมการประเมินผลฯ
    • 2) คณะกรรมการประเมินผลฯ พิจารณาตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และลงมติร่วมกัน
    • 3) คณะกรรมการประเมินผลฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารพิจารณาและหารือร่วมกันเพื่อสรุปผลการประเมินที่ได้
  3. คณะกรรมการประเมินผลฯ รายงานผลการประเมินให้กับคณะกรรมการบริษัทเพื่อรับทราบ

การเข้าร่วมประชุมและการจ่ายค่าตอบแทนกรรมการ

ปี 2567 บริษัทได้กำหนดวันและเวลาประชุมคณะกรรมการบริษัทเป็นการล่วงหน้าทั้งปี และแจ้งกรรมการล่วงหน้าเพื่อกรรมการสามารถจัดเวลาและเข้าร่วมประชุมได้ รวมทั้งกำหนดระเบียบวาระประจำของการประชุมแต่ละครั้งไว้อย่างชัดเจน โดยอาจมีการประชุมพิเศษเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น โดยปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีการประชุมรวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ซึ่งกรรมการบริษัททุกท่านเข้าร่วมประชุมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 โดยมีการจัดประชุมระหว่างกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ประจำปี 2567 จำนวน 1 ครั้ง

นโยบายการดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารในบริษัทอื่น

• กรรมการ

บริษัทได้มีนโยบายในการกำหนดจำนวนบริษัทที่กรรมการแต่ละท่านสามารถดำรงตำแหน่งโดยให้กรรมการแต่ละท่านสามารถดำรงตำแหน่งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดได้ไม่เกิน 5 บริษัท

• ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

บริษัทมีนโยบายในการดำรงตำแหน่งกรรมการ/ผู้บริหารในกิจการอื่นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทั้งบริษัทที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งบริษัท ในประเทศและต่างประเทศ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารต้องรายงานให้คณะกรรมการบริษัททราบถึงการดำรงตำแหน่งนั้นทุกครั้ง และสามารถดำรงตำแหน่งในบริษัทจดทะเบียนได้ไม่เกิน 5 บริษัท

จรรยาบรรณธุรกิจ (Code of Conduct) และการต่อต้านการทุจริต

จรรยาบรรณธุรกิจ

คณะกรรมการบริษัทได้จัดทำจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และข้อพึงปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและข้อปฏิบัติทางจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจ สำหรับกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน ให้ยึดถือและปฏิบัติ โดยถือเป็นภาระและความรับผิดชอบทั่วกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท ตลอดจนสร้างความน่าเชื่อถือในการดำเนินกิจการอันจะทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนดข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้บริหารและพนักงานในการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า คู่แข่งทางการค้า สังคมและสิ่งแวดล้อม และให้ถือปฏิบัติตามจริยธรรมธุรกิจ ดังต่อไปนี้

  1. ประกอบธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และดำเนินงานธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมตามกฎหมายและจรรยาบรรณ และมุ่งมั่นทำความดีต่อบุคคล กลุ่มชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม
  2. ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเป็นธรรมในเรื่องของสินค้าและบริการ โดยไม่เลือกปฏิบัติ
  3. ประกอบธุรกิจโดยมีระบบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานและมีการควบคุมที่ดี โดยใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ด้วยความระมัดระวังด้วยข้อมูลที่เพียงพอ และมีหลักฐานสามารถอ้างอิงได้รวมทั้งถือปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
  4. ไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้าที่ตนได้ล่วงรู้มาเนื่องจากการดำเนินธุรกิจ อันเป็นข้อมูลที่ตามปกติวิสัยจะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผยตามหน้าที่ตามกฎหมาย
  5. เปิดเผยให้ลูกค้าสามารถร้องเรียนได้เกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของสินค้าและบริการ
  6. เปิดเผยข่าวสารข้อมูลของสินค้าและบริการอย่างถูกต้องครบถ้วน
  7. ปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ กับลูกค้าอย่างเป็นธรรม หากปฏิบัติตามข้อตกลงหรือเงื่อนไขไม่ได้ ต้องรีบแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อหาทางออกร่วมกัน

คณะกรรมการ ได้มีการทบทวนและปรับปรุงจรรยาบรรณธุรกิจเป็นประจำทุกปี เพื่อให้มีความเหมาะสมกับบริบททางธุรกิจ และมีการเผยแพร่ไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียและบุคคลทั่วไปที่สนใจสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก

การสื่อสารและอบรมให้ความรู้บุคลากรเกี่ยวกับจรรยาบรรณธุรกิจ

ปี 2567 บริษัทได้มีการติดตามการดำเนินการตามจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และข้อพึงปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและข้อปฏิบัติทางจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจ ตลอดกระบวนการทำงานผ่านคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และช่องทางการแจ้งเบาะแส พบการละเมิดจรรยาบรรณ 0 กรณี โดยเลขานุการบริษัทได้รายงานเพื่อคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืนและคณะกรรมการบริษัทรับทราบผลการติดตามการดำเนินการตามจรรยาบรรณฯ ดังกล่าว

บริษัทได้มีการติดตามให้เกิดการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งครอบคลุมประเด็นที่สำคัญ อาทิ การปฏิบัติตามจริยธรรมและจรรยาบรรณธุรกิจ การป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสงหาผลประโยชน์ และการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น โดยบริษัทได้มีการสื่อสารจรรยาบรรณธุรกิจและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้างต้น ไว้บนเว็บไซต์และ Intranet ของบริษัท บรรจุไว้ในคู่มือกรรมการซึ่งจัดส่งให้กรรมการและผู้บริหารทุกคนครบร้อยละ 100 เพื่อสื่อสารเน้นย้ำความเข้าใจสำหรับกรรมการและผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และอบรมด้านจรรยาบรรณธุรกิจให้กับพนักงานที่เข้ามาใหม่ จำนวน 203 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของพนักงานใหม่ปี 2567 ทั้งหมด ผ่านกระบวนการปฐมนิเทศพนักงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ของบริษัทรับทราบและยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด โดยในปี 2567 ไม่มีกรณีการฝ่าฝืนจริยธรรมธุรกิจของผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงมีการปฏิบัติตามนโยบายด้านกำกับดูแลกิจการที่ดีทุกฉบับอย่างเคร่งครัด

กระบวนการติดตามและจัดให้มีการปฏิบัติตามจรรยาบรรณธุรกิจ

การติดตามเพื่อให้มีการปฏิบัติตามจรรยาบรรณธุรกิจ

บริษัทได้จัดทำข้อพึงปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและข้อปฏิบัติทางจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจ ไว้สำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ได้ยึดถือในการปฏิบัติงาน และกำหนดให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน ที่จะต้องรับทราบและทำความเข้าใจ รวมทั้งต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้บริหารทุกระดับในองค์กร จะต้องดูแลรับผิดชอบและถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการให้พนักงานภายใต้สายบังคับบัญชาของตน รับทราบ เข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างจริงจัง โดยให้ข้อพึงปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและข้อปฏิบัติทางจรรยาบรรณและจริยธรรมธุรกิจนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบปฏิบัติของบริษัทและบริษัทย่อย

การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน

บริษัทมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่เน้นการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักบรรษัทภิบาลที่ดี และจรรยาบรรณทางธุรกิจ เพื่อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย  บริษัทจึงได้กำหนดให้มีนโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานยึดถือปฏิบัติ โดยบริษัทกำหนดให้มีการทบทวนนโยบายดังกล่าวทุกปี โดยในปี 2567 มีการทบทวนนโยบายฯ ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 โดยมีสาระสำคัญของนโยบายฯ ดังนี้

  1. ไม่เสนอให้ค่าตอบแทน จ่ายสินบน เรียกร้อง ตกลงหรือรับสินบนจากบุคคลอื่น หรือหน่วยงานอื่นทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการโดยตรงหรือโดยอ้อม เพื่อให้มีการตอบแทนปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน หรือหวังผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับงานของบริษัท
  2. ไม่ทำธุรกรรมโดยไม่ชอบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ บุคคลหรือหน่วยงานอื่น โดยทางตรงหรือทางอ้อม
  3. ไม่บริจาคเงินหรือจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนใดๆ แก่บุคคลอื่นหรือหน่วยงานอื่นเพื่อเป็นช่องทางในการจ่ายสินบน
  4. ไม่สนับสนุนเงินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมให้แก่พรรคการเมือง กลุ่มทางการเมืองหรือบุคคลใดที่เกี่ยวกับการเมือง เพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการดำเนินของธุรกิจหรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง

ช่องทางการแจ้งเบาะแส รายงานกรณีถูกละเมิด หรือพบเห็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กฎระเบียบ และจรรยาบรรณธุรกิจ

บริษัทมีความมุ่งมั่นปฏิบัติงานโดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีนโยบายแน่ชัดในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และยึดมั่นการดำเนินการตามจรรยาบรรณธุรกิจอย่างเคร่งครัด บริษัทจึงกำหนดนโยบายว่าด้วยการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียน สำหรับรับข้อร้องเรียนการทุจริต การถูกละเมิดสิทธิหรือพบเห็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย/ระเบียบ/จรรยาบรรณธุรกิจของบริษัท จากพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมทั้งมีกลไกในการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลและให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลข้อร้องเรียนเป็นความลับ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร้องเรียน โดยบริษัทได้มอบหมายให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินการต่างๆ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเบาะแสหรือข้อร้องเรียนนั้น รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการจัดการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้น โดยมีขั้นตอนการจัดการเบาะแสและข้อร้องเรียนกรณีทุจริตและการละเมิดจรรยาบรรณ และกระบวนการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ

ช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนการทุจริตและ/หรือละเมิดจรรยาบรรณ

  1. กล่องรับข้อเสนอแนะและข้อร้องเรียน ณ บริเวณสำนักงานฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล
  2. การแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนโดยตรงถึง
    • ผู้บังคับบัญชาที่พนักงานไว้วางใจทุกระดับ
    • ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล
    • ฝ่ายตรวจสอบภายใน
    • เลขานุการบริษัท
    • กรรมการตรวจสอบ
    • กรรมการบริษัท
  3. Website ของบริษัท : http://www.teamgroup.co.th
  4. Email: ส่งตรงถึงคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ที่ whistle-blowing@team.co.th
  5. จัดส่งทางไปรษณีย์โดยตรงถึงคณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ที่
    บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) 151 ถนนนวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230
การติดตามให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและแนวปฏิบัติในการกำกับดูแลกิจการ

บริษัทกำหนดให้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกคนที่จะต้องรับทราบ ทำความเข้าใจและถือปฏิบัติตามนโยบายและข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้ได้อย่างเคร่งครัด ผู้บริหารทุกระดับในองค์กรจะต้องรับผิดชอบดูแล และถือเป็นเรื่องจริยธรรมของบริษัทอย่างจริงจัง หากกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานผู้ใดกระทำผิดหลักการกำกับดูแลกิจกรรมตามที่กำหนดไว้จะได้รับโทษทางวินัย และหากมีการกระทำที่เชื่อได้ว่ากระทำผิดกฎหมาย กฎระเบียบและข้อบังคับของรัฐ บริษัทจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการต่อไป

บริษัทได้มีการติดตามให้เกิดการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งครอบคลุมประเด็นที่สำคัญ อาทิ การปฏิบัติตามจริยธรรมธุรกิจ การป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสงหาผลประโยชน์ และการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น โดยบริษัทได้มีการสื่อสารนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้างต้น ไว้บนเว็บไซต์ของบริษัท รวมถึงบรรจุเป็นหัวข้อการปฐมนิเทศพนักงานใหม่และบรรจุนโยบายดังกล่าวไว้ในคู่มือพนักงานส่งมอบให้พนักงานใหม่ทุกคนได้รับทราบ รวมทั้ง บรรจุไว้ในคู่มือกรรมการซึ่งจัดส่งให้กรรมการและผู้บริหารทุกคนครบร้อยละ 100 เพื่อให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ของบริษัทรับทราบและยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด โดยในปี 2567 ไม่มีกรณีการฝ่าฝืนจริยธรรมธุรกิจของผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงมีการปฏิบัติตามนโยบายด้านกำกับดูแลกิจการที่ดีทุกฉบับอย่างเคร่งครัด

ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการติดตามการทุจริตและการละเมิดจรรยาบรรณอย่างครอบคลุมทั้งกระบวนการ รวมถึงการติดตามการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนต่าง ๆ โดยไม่พบกรณีทุจริตหรือละเมิดจรรยาบรรณจากกรรมการ ผู้บริหาร หรือพนักงานแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ไม่พบกรรมการหรือผู้บริหารที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายการกำกับดูแลการใช้ข้อมูลภายในและนโยบายการเปิดเผยสารสนเทศ และบริษัทไม่ได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำผิดของกรรมการและผู้บริหารในการใช้ข้อมูลภายในในทางมิชอบแต่อย่างใด


2. การบริหารจัดการความเสี่ยง

2.1  นโยบายและแผนการบริหารความเสี่ยง

บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร และป้องกันความเสียหายและลดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจในการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ

2.1.1  การบริหารความเสี่ยงองค์กร 

ให้ใช้แนวทางการบริหารความเสี่ยงฉบับปรับปรุงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ COSO-ERM 2017 (The Committee of Sponsoring Organization of Treadway Commission; Enterprise Risk Management – Integrated Framework 2017) ซึ่งกำหนดองค์ประกอบกิจกรรมหลักการบริหารความเสี่ยง 6 ขั้นตอน ดังนี้

  1. การกำหนดวัตถุประสงค์ (Objective Setting)
  2. การบ่งชี้ความเสี่ยง (Risk Identification)
  3. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
  4. การตอบสนองความเสี่ยง (Risk Response)
  5. กำหนดมาตรการควบคุม (Control Activities)
  6. การติดตามประเมินผลและรายงานความเสี่ยง (Monitoring and Reporting)
2.1.2  คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งกรรมการบริหารความเสี่ยง

โดยให้คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง จัดทำคู่มือบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยกำหนดองค์ประกอบของการบริหารความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการดำเนินธุรกิจและกระบวนการบริหารงาน

2.2  กฎบัตรคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง

2.2.1  องค์ประกอบและการสรรหาคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง 

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง จะต้องเป็นกรรมการบริษัท และ/หรือผู้บริหารของบริษัท และ/หรือพนักงานของบริษัท และหรือบุคคลที่มีความเหมาะสม ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริษัท โดยมีจำนวนตามที่คณะกรรมการบริษัทเห็นสมควร และโดยที่คณะกรรมการบริษัทจะแต่งตั้งกรรมการบริหารความเสี่ยงคนหนึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง

2.2.2  ขอบเขตอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
  1. กำหนดนโยบายและโครงสร้างการบริหารความเสี่ยง เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทโดยให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทและเป็นไปตามแนวทางการบริหารความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย
  2. วางนโยบายการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้สามารถประเมิน ติดตามและควบคุมความเสี่ยงแต่ละประเภทให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยให้หน่วยงานต่างๆ มีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการความเสี่ยง
  3. ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบในระดับองค์กร และกำหนดวิธีการบริหารความเสี่ยงนั้นให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ รวมทั้งควบคุมดูแลให้มีการบริหารความเสี่ยงตามวิธีการที่กำหนดไว้ ตลอดจนกำหนดผู้รับผิดชอบและระยะเวลาดำเนินการ
  4. ทบทวนนโยบายการบริหารความเสี่ยงและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเพียงพอ เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ที่จะจัดการความเสี่ยง
  5. มีอำนาจในการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือแต่งตั้งและกำหนดบทบาทที่ให้ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ มีหน้าที่บริหารความเสี่ยงตามความเหมาะสม และให้รายงานต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้การบริหารความเสี่ยงบรรลุวัตถุประสงค์
  6. รายงานผลของการบริหารความเสี่ยงต่อคณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อพิจารณาและนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเป็นประจำทุกไตรมาส
  7. จัดทำคู่มือการบริหารความเสี่ยง และประกาศให้พนักงานรับทราบนำไปปฏิบัติได้
  8. ระบุความเสี่ยงด้านต่าง ๆ พร้อมทั้ง วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งแนวโน้มซึ่งมีผลกระทบบริษัท
  9. จัดทำแผนงานเพื่อป้องกัน ลดความเสี่ยง ถ่ายโอน หรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
  10. ประเมินผล และจัดทำรายงานการบริหารความเสี่ยง
  11. จัดวางระบบบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการโดยเชื่อมโยงระบบสารสนเทศ
  12. แต่งตั้งคณะทำงานบริหารความเสี่ยง
  13. ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการบริษัทมอบหมาย
2.2.3  การพ้นจากตำแหน่ง
  1. กรรมการบริหารความเสี่ยงดำรงตำแหน่งโดยมีวาระคราวละ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับแต่งตั้งหรือตามมติกรรมการบริษัท กรรมการบริหารความเสี่ยงที่ดำรงตำแหน่งครบวาระนั้น อาจได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งเข้าใหม่ได้ โดยการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท
  2. เมื่อพ้นจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ผู้บริหาร หรือพนักงานของบริษัท ให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหารความเสี่ยงด้วย
2.2.4  การประชุม
  1. คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงควรมีการประชุมอย่างน้อยไตรมาสละครั้ง
  2. 2ในกรณีที่ประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการบริหารความเสี่ยงที่มาประชุมเลือกกรรมการบริหารความเสี่ยงคนใดคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
  3. 3) กรรมการที่อาจมีความขัดแย้ง หรือมีส่วนได้เสียในเรื่องใด ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้น
2.2.5  การทบทวนและปรับปรุงกฎบัตร

กฎบัตรนี้จะต้องได้รับการทบทวนเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และหากมีการแก้ไขให้นำเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติ

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง

โดยบริษัทได้กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำหนดกรอบและกระบวนการในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้สายงานธุรกิจ มอบหมายให้คุณศิต ตันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์ เป็นผู้รับผิดชอบ และคุณณัฐธยาน์ ลิ้มสุนทรากูล ประธานเจ้าหน้าที่การเงินเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานตรวจสอบภายนอกเพื่อติดตามและทวนสอบกระบวนการบริหารความเสี่ยง โดยบริษัทได้กำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยงองค์กร และเผยแพร่ให้ผู้บริหารและพนักงานรับทราบแนวทางการบริหารความเสี่ยงผ่าน Intranet ของบริษัท

2.3  ปัจจัยความเสี่ยง

บริษัททบทวนความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องโดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกองค์กรรวม ทั้งความเสี่ยงในปัจจุบันและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) และระบุปัจจัยความเสี่ยง ตลอดจนกำหนดมาตรการบริการความเสี่ยง

ปัจจัยความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ประจำปี 2567 สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน

2.4  ผลการดำเนินงานการบริหารความเสี่ยงปี 2567

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงมีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง บริษัทฯ ได้ดำเนินการประเมินความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ครอบคลุมทุกหน่วยงาน จากการจัดลำดับความเสี่ยงพบว่า มีความเสี่ยงระดับองค์กรที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือ ความเสี่ยงด้านสัญญาผูกพันการเบิกจ่ายค่าจ้างกับเนื้องานที่ไม่สามารถควบคุมได้ บริษัทฯได้จัดทำมาตรการรองรับความเสี่ยง มุ่งเน้นการบริหารจัดการงวดงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการติดตามความคืบหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถวางแผนและจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม

2.5  การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ

บริษัทฯดำเนินการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ประกอบด้วยแผนตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Response Plan: ERP) และแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) ที่มีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการซ้อมแผนดังกล่าวเป็นประจำทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะวิกฤติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อองค์กร พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนช่วยให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวและกลับมาดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

2.6  การส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง

บริษัทฯใช้คู่มือบริหารความเสี่ยงองค์กรเป็นแนวทางในการปฏิบัติการบริหารความเสี่ยง ให้ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกหน่วยงานในการนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งกำกับดูแลและติดตามความเสี่ยงตามแผนที่กำหนดไว้ โดยอาศัยความร่วมมือและการประสานงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานจะต้องรายงานต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับทราบ จากนั้น คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงจะดำเนินการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการบริหารความเสี่ยง และรายงานผลต่อคณะกรรมการบริษัทเป็นรายไตรมาส เพื่อให้สามารถระบุจุดอ่อน ปรับปรุงแนวทาง และพัฒนานโยบายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย

  1. บริษัทได้กำหนดตัวชี้วัดองค์กร (KPI) ที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยง เช่น กำหนดเป้าหมายผลการรับงานในปี 2567 ที่ 2,500 ล้านบาท และได้กำหนดตัวชี้วัดความเสี่ยง (KRI) หากผลการรับงานต่ำกว่าร้อยละ 10 ของแผนที่กำหนดไว้ จะส่งผลให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย KPI ที่ตั้งไว้ได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละธุรกิจต้องร่วมกันเร่งหางานใหม่และจัดทำแผนการดำเนินงานที่มีความเหมาะสม รวมถึงการทบทวนกลยุทธ์ในการเสนอราคางานอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งต้องมีการปรับปรุงแผนหลักและแผนสำรองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ก่อนการรับงานทุกครั้งจะต้องมีการประเมินความเสี่ยงของโครงการ (Potential Project Risk) อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าผลการรับงานจะเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การฝึกอบรมด้านการบริหารความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมไปถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ในปี 2567 บริษัทได้ส่งบุคลากรจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นางสาวภมรา พัฒนภูมิธนินท์, นางสาววริยา เชาวะวณิช, และนางสาวภัทรา นาลอยพงษ์ เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “หลักสูตรการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 20-21 มิถุนายน 2567 เพื่อนำความรู้ไปใช้ในการบริหารความเสี่ยงองค์กรอย่างยั่งยืนและในปี 2568 บริษัทมีแผนการอบรมการบริหารความเสี่ยงองค์กรเพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับเกิดการรับรู้และเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กรที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น

3. การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า

บริษัทจัดทำแผนพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้า มีระบบการติดตามตรวจสอบความพึงพอใจของลูกค้าจากการสำรวจความพึงพอใจด้านคุณภาพของผลงาน การสำรวจความพึงพอใจด้านเวลา การสำรวจความพึงพอใจด้านการบริการและการสำรวจความพึงพอใจในภาพรวมทุกโครงการอย่างสม่ำเสมอ ผ่านการประเมินความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Survey)  โดยช่องทางการเข้าพบลูกค้าโดยตรง เพื่อดำเนินการสัมภาษณ์ความพึงพอใจ (Interview) สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าทางโทรศัพท์ (Conference Call) และ ส่งแบบสำรวจความพึงพอใจถึงลูกค้าทาง Email

การสำรวจจะเป็นการให้คะแนนความพึงพอใจในแต่ละหัวข้อย่อยของ 4 หัวข้อหลักข้างต้นโดยกำหนดความพึงพอใจเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  • 4  คะแนน    =    พอใจมากหรือสูงกว่าความคาดหวัง
  • 3  คะแนน    =    พอใจหรือได้ตามที่คาดหวัง
  • 2  คะแนน    =    ไม่พอใจหรือต่ำกว่าที่คาดหวัง
  • 1  คะแนน    =    ไม่พอใจมากหรือต่ำกว่าที่คาดหวังมาก

โดยบริษัทกำหนดเกณฑ์โครงการที่ผ่านการประเมินจะต้องได้รับคะแนนตั้งแต่ 3 คะแนนขึ้นไปในแต่ละหัวข้อย่อยของ 4 ข้อหลัก หากผลการประเมินพบว่ามีข้อใดข้อหนึ่งได้คะแนนต่ำกว่า 3 คะแนนจะถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ผู้จัดการโครงการจะต้องจัดทำแผนแก้ไขปัญหาเพื่อปรับปรุงคุณภาพงานให้แก่ลูกค้าอย่างทันท่วงทีและ บริษัทจะนำข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นจากลูกค้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

ในปี 2567 บริษัทได้เข้าประเมินผลความพึงพอใจของลูกค้า 144 โครงการ ผลการประเมินมีโครงการที่ผ่านเกณฑ์ 142 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99 ของจำนวนโครงการที่เข้าประเมิน

การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

บริษัทมุ่งรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า โดยบริษัทยึดหลักการ Customer centered ซึ่งเป็นหนึ่งในค่านิยมขององค์กร ที่มุ่งเน้นการบริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า เข้าใจความปรารถนาของลูกค้าในปัจจุบันและคาดการณ์ความปรารถนาของลูกค้าในอนาคต โดยบริษัทจัดให้มีการพบปะลูกค้าเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ การหารือเพื่อให้บริการได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงจัดให้มีระบบร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจว่าจะได้รับการให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ

การบริหารข้อร้องเรียนจากลูกค้า

ได้จัดให้มีช่องทางที่ลูกค้าสามารถร้องเรียนผ่านระบบรับข้อร้องเรียนและแจ้งเบาะแสบนเว็ปไซต์ของบริษัท และ/หรือ ผ่านช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนตามที่ระบุไว้ในหัวข้อที่ 8.1.4 การติดตามให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและแนวปฏิบัติในการกำกับดูแลกิจการ หัวข้อ 2) การแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียน โดยบริษัทมีกระบวนการในการบริหารจัดการข้อร้องเรียนจากลูกค้า ดังนี้

กระบวนการในการบริหารจัดการข้อร้องเรียนจากลูกค้า

4. การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน

การดำเนินธุรกิจของบริษัทต้องอาศัยการบริหารจัดการคู่ค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินงาน ชื่อเสียงของบริษัท รวมถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียรายอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานนี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยงดังกล่าว ทางบริษัท จึงตระหนักถึงบทบาทสำคัญของการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงหลักด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบแล้ว แต่ยังช่วยส่งเสริมและผลักดันให้คู่ค้าดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์ ดังนี้

  1. ควบคุมและลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดจากคู่ค้า เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
  2. ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน
  3. เสริมสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาล โดยยกระดับมาตรฐานความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ลดความเสี่ยงด้านทุจริตคอร์รัปชัน และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล
  4. พัฒนาคู่ค้าและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนและพัฒนาคู่ค้าให้เติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ และสามารถแข่งขันในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
  5. สร้างมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืนในระยะยาว โดยนำนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนมาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจ

แนวทางการบริหารจัดการค้า

บริษัทยังได้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการที่ส่งเสริมการเติบโตและยั่งยืนร่วมกันกับคู่ค้า ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกคู่ค้า การประเมินความเสี่ยง การตรวจประเมินผลการดำเนินงานการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาความยั่งยืนของคู่ค้า ดังนี้

1.  นโยบายและแผนการบริหารความเสี่ยง

บริษัทให้ความสำคัญในการพิจารณาคุณสมบัติของคู่ค้า นอกจากเรื่องของคุณภาพของสินค้าและบริการแล้ว ยังได้คำนึงถึงประเด็นทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล ซึ่งบริษัทจะประเมินและคัดเลือกคู่ค้ารายใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์การประเมินที่ครอบคลุมทางด้านความยั่งยืนผ่านการประเมินตนเองของคู่ค้า (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) พร้อมทั้งจัดส่งจรรยาบรรณธุรกิจสำหรับคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) เพื่อให้คู่ค้ารับทราบและปฏิบัติตาม

โดยบริษัทได้จัดทำจรรยาบรรณคู่ธุรกิจ (Supplier Code of Conduct) ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่มือในการสื่อสารเกี่ยวกับแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างบริษัทและคู่ค้า อาทิ ดำเนินธุรกิจอย่างซื่อสัตย์สุจริต เป็นธรรมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วน รักษาความลับ และเคารพในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Products) เป็นต้น โดยได้เปิดเผยไว้บนเว็บไซต์ของบริษัท ภายใต้หัวข้อ “การกำกับดูแลกิจการ > นโยบายการกำกับดูแลกิจการ” เพื่อให้คู่ค้ารับทราบและให้ความร่วมมือในการดำเนินการ

การคัดเลือกและขึ้นทะเบียนคู่ค้ารายใหม่

กรณีคู่ค้ารายใหม่หรือคู่ค้าปัจจุบันที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน ให้ดำเนินการ ดังนี้

  • บริษัทมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคู่ค้า 2 กรณี คือ
  • กรณีผู้ขายหรือผู้ให้บริการ (New Vendors) และกรณีประกวดราคา (Pre-Qualified Vendors) โดยทางบริษัทจะมีการประเมินคุณสมบัติของคู่ค้าเบื้องต้น อาทิ ข้อมูลบริษัทคู่ค้า ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ โดยคำนึงถึงคุณภาพ ราคา ความปลอดภัย ส่งมอบทันเวลา และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตรงตามความต้องการและข้อกำหนดของบริษัท
  • เมื่อคัดเลือกคู่ค้าที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นครบแล้ว เจ้าหน้าที่จัดซื้อจะจัดส่งแบบประเมินตนเองของคู่ค้า (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความยั่งยืน โดยให้คู่ค้ากรอกข้อมูลของบริษัทและทำการประเมินตนเอง ในด้านการกำกับดูแลกิจการ การปฏิบัติต่อแรงงาน การจัดการผลกระทบทางสังคม การจัดการสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่จัดซื้อจะจัดส่งจรรยาบรรณธุรกิจสำหรับคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) ให้คู่ค้าได้ลงนามตอบรับการรับทราบและปฏิบัติตามจรรยาบรรณธุรกิจ
  • เจ้าหน้าที่จัดซื้อรวบรวมเอกสารทั้งหมดและสรุปผลเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติ
  • คู่ค้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ผ่านการประเมินตนเองและระดับความเสี่ยงผ่านเกณฑ์ และได้ลงนามในจรรยาบรรณธุรกิจสำหรับคู่ค้าแล้ว จะได้รับการบันทึกชื่อในทะเบียนคู่ค้า (Approved Vendor List: AVL) ถือเป็นคู่ค้าที่สามารถเข้าร่วมนำเสนอสินค้าหรือบริการได้

2.  การจัดกลุ่มคู่ค้า

บริษัทได้กำหนดเกณฑ์การจำแนกคู่ค้า เพื่อให้บริษัทสามารถวิเคราะห์และบริหารจัดการคู่ค้าได้อย่างเหมาะสม โดยแบ่งตามประเภท ดังนี้

  • คู่ค้าทางตรงรายสำคัญ (Critical Tier 1 Suppliers) หมายถึงคู่ค้าที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการโดยตรงแก่โครงการของบริษัท ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ดังนี้
    • คู่ค้าที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูง โดยอยู่ในร้อยละ 80 แรกของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของหมวดการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัททั้งหมด
    • เป็นคู่ค้าที่มีความชำนาญเฉพาะทางหรือวัสดุอุปกรณ์เฉพาะทางที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ฯ
    • ผู้ขายสินค้าหรือให้บริการในตลาดน้อยรายและหาทดแทนได้ยาก
  • คู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ (Critical Non-Tier 1 Suppliers) หมายถึง คู่ค้ารายสำคัญที่ไม่ได้ทำธุรกิจโดยตรงกับบริษัท แต่สินค้าหรือบริการมีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท หรือสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงหรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทได้
  • คู่ค้าทางตรง (Tier-1 Suppliers) หมายถึง คู่ค้าที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการโดยตรงแก่บริษัท
  • คู่ค้าทางอ้อม (Non-Tier 1 Suppliers) หมายถึง คู่ค้าที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการแก่คู่ค้าทางตรงของบริษัท

3.  การประเมินและระบุความเสี่ยงของคู่ค้า

บริษัทประเมินความเสี่ยงของคู่ค้า โดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงที่อ้างอิงมาจากข้อมูลการประเมินตนเองของคู่ค้า (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) โดยมีปัจจัยทั้งหมด 4 ด้าน ดังนี้

  1. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินค้าและบริการ
  2. ความเสี่ยงด้านบรรษัทภิบาล
  3. ความเสี่ยงด้านสังคม
  4. ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
•  กระบวนการตรวจประเมินความเสี่ยง

เจ้าหน้าที่จัดซื้อจัดส่งแบบประเมินตนเองของคู่ค้า (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) เพื่อประเมินความเสี่ยงของคู่ค้าที่ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ/หรือบรรษัทภิบาล (ESG Risk) ซึ่งข้อคำถามดังกล่าวจะสอดคล้องกับแนวปฏิบัติจรรยาบรรณคู่ธุรกิจ(Supplier Code of Conduct) ที่ทางบริษัทได้กำหนดไว้ หลังจากนั้นจะทำการสรุปผลการประเมินให้คู่ค้าทราบ หากคู่ค้ารายใดที่มีความเสี่ยง ทางเจ้าหน้าที่จัดซื้อจะแจ้งประเด็นที่ต้องการให้คู่ค้าปรับปรุงแก้ไขในลำดับถัดไป

4.  การจัดการเพื่อลดความเสี่ยงของคู่ค้า 

  • คู่ค้าทางตรงรายสำคัญ (Critical Tier 1 Suppliers) ที่มีผลประเมินความเสี่ยงในระดับน้อยมาก ต้องทำแบบประเมินตนเอง (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) เป็นประจำอย่างน้อย 1 ครั้งในรอบ 3 ปี เพื่อประเมินความสอดคล้องกับจรรยาบรรณคู่ธุรกิจและสร้างการรับรู้ถึงทิศทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแก่คู่ค้า และหากมีผลประเมินความเสี่ยงในระดับน้อย ต้องทำแบบประเมินตนเอง (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) เป็นประจำ ทุก ๆ 2 ปี
  • คู่ค้าทางตรงรายสำคัญ (Critical Tier 1 Suppliers)  ที่มีผลการประเมินความเสี่ยงในระดับปานกลางต้องทำแบบประเมิน (Self-Assessment Questionnaire: SAQ) ตามความถี่ที่ทางบริษัทได้กำหนดไว้ รวมถึงส่งแผนการปรับปรุงเพิ่มเติมตามประเด็นต่าง ๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าคู่ค้าได้ดำเนินการและปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว
  • บริษัทให้ความสำคัญกับคู่ค้าทางตรงรายสำคัญ (Critical Tier 1 Suppliers) ที่มีผลการประเมินความเสี่ยงในระดับสูงและสูงมาก โดยคู่ค้าดังกล่าวต้องนำเสนอแผนงานและแก้ไขปรับปรุงให้อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัท ฯ กำหนด และจะได้รับการเยี่ยมชมสถานประกอบการ (On-Site ESG Audit) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยรายละเอียดการตรวจประเมินจะสอดคล้องกับแนวปฏิบัติจรรยาบรรณคู่ธุรกิจที่ทางบริษัท ฯ ได้กำหนดไว้เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้คู่ค้ามีการพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายการดำเนินการ
  • เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  • ลดปริมาณการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและสิ่งที่ไม่จำเป็น
  • ร้อยละ 100 ของคู่ค้าทางตรงรายสำคัญ รับทราบและปฏิบัติตามจรรยาบรรณคู่ธุรกิจ
  • ร้อยละ 100 ของคู่ค้าทางตรงรายสำคัญได้รับการตรวจประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ/หรือบรรษัทภิบาล (ESG Risk)
ผลการดำเนินงานที่สำคัญสำหรับปี 2567

ในปี 2567 บริษัทมีคู่ค้าที่ทำธุรกิจโดยตรงกับบริษัทจำนวน 476 ราย คิดเป็นมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างรวมทั้งสิ้น 687,918,050.86 บาท โดยพิจารณาหลักเกณฑ์การจำแนกคู่ค้า สามารถแบ่งได้เป็น คู่ค้าทางตรงรายสำคัญ 9 ราย และคู่ค้าทางอ้อมรายสำคัญ 1 ราย ที่ควรได้รับการประเมินความเสี่ยงด้านความยั่งยืน

ทั้งนี้ เนื่องจากปี 2567 เป็นปีแรกที่บริษัทได้ดำเนินการจัดทำห่วงโซ่อุปทาน จึงมุ่งเน้นไปที่คู่ค้าทางตรงรายสำคัญเป็นลำดับแรก คือจำนวน 9 ราย ที่ได้รับการประเมินได้รับการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ/หรือบรรษัทภิบาล (ESG Risk) และรับทราบตามจรรยาบรรณคู่ธุรกิจ คิดเป็นจำนวนร้อยละ 100 ของคู่ค้าทางตรงรายสำคัญ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.89 ของคู่ค้าทั้งหมด โดยมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างคิดเป็นร้อยละ 81.19 ของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของหมวดการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัททั้งหมด หรือคิดเป็นร้อยละ 64.08 ของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดของปี 2567 โดยมีผลการประเมินด้านความยั่งยืน ดังตารางต่อไปนี้

จากผลประเมินความเสี่ยงดังกล่าว พบว่า คู่ค้าทางตรงรายสำคัญของบริษัท มีการดำเนินงานตามมาตรฐานที่ดี มีความเสี่ยงน้อยมาก (ระดับ A) จำนวน 9 ราย

เมื่อแบ่งเป็นความเสี่ยงในแต่ละด้าน มีผลการประเมินความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ผลการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม: คู่ค้าทางตรงรายสำคัญมีความเสี่ยงน้อยมาก (ระดับ A) จำนวน 7 ราย และคู่ค้าทางตรงรายสำคัญมีความเสี่ยงน้อย (ระดับ B) จำนวน 2 ราย
  • ผลการประเมินความเสี่ยงด้านสังคม: คู่ค้าทางตรงรายสำคัญมีความเสี่ยงน้อยมาก (ระดับ A) จำนวน 9 ราย
  • ผลการประเมินความเสี่ยงด้านบรรษัทภิบาล: คู่ค้าทางตรงรายสำคัญมีความเสี่ยงน้อยมาก (ระดับ A) จำนวน 9 ราย

สำหรับผลการตรวจประเมินคู่ค้าในการเยี่ยมชมสถานประกอบการ (On-Site ESG Audit) ในรอบปี 2567 ทางบริษัท ไม่มีการตรวจประเมินสถานประกอบการของคู่ค้า เนื่องจากไม่มีคู่ค้าทางตรงรายสำคัญรายใดที่มีความเสี่ยงสูงและสูงมาก ซึ่งเป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ทางบริษัทกำหนด

5.  ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาความยั่งยืนของคู่ค้า 

บริษัทให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าผ่านแนวทาง ดังต่อไปนี้

สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้า ด้วยการเสริมสร้างความผูกพันและความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้า ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน

  • มีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับคู่ค้า เพื่อพัฒนานวัตกรรมหรือโครงการใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และร่วมกันยกระดับการดำเนินธุรกิจระหว่างบริษัทกับคู่ค้าให้เติบโตและยั่งยืนในระยะยาว
  • สนับสนุนการจ้างแรงงานในระดับท้องถิ่นและพัฒนาทักษะบุคลากร โดยมุ่งเน้นให้แรงงานสามารถพัฒนาตนเองและมีโอกาสทำงานได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดอัตราการว่างงานในพื้นที่นั้นๆ และพัฒนาท้องถิ่นให้มีความยั่งยืนขึ้น
  • ส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ ผ่านการจัดอบรมต่างๆ เช่น จัดอบรมเกี่ยวกับมาตรฐานการก่อสร้างที่ปลอดภัย การบริหารโครงการ การใช้ประโยชน์ การดูแลบำรุงรักษา และการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ผลการดำเนินงาน

การพัฒนาทักษะด้านเทคนิคเกี่ยวกับงานสำรวจภูมิประเทศให้แก่คู่ค้า 

โครงการ การสำรวจภูมิประเทศเพื่อใช้ในงานพัฒนาระบบติดตามสถานการณ์น้ำทางไกลอัตโนมัติ ให้ความสำคัญกับข้อมูลการสำรวจที่ถูกต้องเพื่อใช้เป็นฐานในการต่อยอดข้อมูลเพื่อตรวจวัดและติดตามสถานการณ์น้ำทางไกลอัตโนมัติ จึงได้จัดอบรมให้ความรู้ทางเทคนิคเกี่ยวกับงานสำรวจภูมิประเทศกับคู่ค้า เพื่อให้คู่ค้าปฏิบัติงานสำรวจ มีมาตรฐานเดียวกันมีความถูกต้องในระดับเกณท์เดียวกัน ภายหลังการอบรม คู่ค้าจะนำความรู้ที่ได้ไปดำเนินงานและดูแลกำกับการสำรวจรูปตัดลำน้ำ (Cross-Section) การจัดทำแผนที่ผังบริเวณ (Site Plan) การจัดทำโค้งความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำและปริมาณน้ำ (Rating Curve) ณ ตำแหน่งสถานีตรวจวัดข้อมูลระดับน้ำ รวมทั้งการกำหนดค่าศูนย์เสาระดับน้ำ (Zero Gauge) อ้างอิงที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) และการสร้างหมุดหลักฐานจากหมุดอ้างอิง

โครงการได้จัดฝึกอบรมให้แก่พนักงานของบริษัทคู่ค้า 2 บริษัท จำนวน 10 คน คิดเป็นคู่ค้าทางตรงรายสำคัญร้อยละ 11 ของคู่ค้าทางตรงรายสำคัญทั้งหมด ซึ่งจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ มาตรฐาน เกณท์ และข้อมูลที่ได้จากการอบรม แก่ผู้ปฏิบัติการของคู่ค้า เพื่อนำไปปฏิบัติงานของโครงการ ผลของการฝึกอบรม คู่ค้าสามารถผลิตผลงานสำรวจที่ตรงตามหลักวิชาการลดการแก้ไขงานไปได้มาก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึงร้อยละ 20 และบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่งมอบได้ตามกำหนด การได้ข้อมูลภูมิประเทศที่ถูกต้องทำให้การทำนายสถานการณ์น้ำมีความแม่นยำสูงเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการน้ำโดยรวมและสามารถเตือนภัยประชาชนได้แม่นยำ โครงการลักษณะนี้ยังมีโครงการต่อเนื่องอีกหลายโครงการในอนาคตการอบรมจึงเป็นการช่วยเหลือและพัฒนาที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กร คู่ค้า และส่วนรวม โดยสรุปประโยชน์หลัก ๆ ได้ดังนี้

การพัฒนาทักษะด้านการใช้ระบบการจัดเก็บและอนุมัติเอกสารผ่านระบบออนไลน์ให้แก่คู่ค้า

โครงการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์ในยา ได้นำระบบ ConZol ซึ่งเป็นระบบการจัดเก็บและอนุมัติเอกสารเข้ามาใช้ในโครงการ โดยได้อบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และกระบวนการทางเอกสารให้กับบุคลากรของบริษัท บอส ฟาร์มาแคร์ จำกัด (BOSS) หรือ ผู้ผลิตยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบินและผู้รับจ้างก่อสร้าง ซึ่งคือ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITE) ให้ทำการจัดเก็บเอกสารบนระบบออนไลน์แทนการใช้เอกสารกระดาษซึ่งต้องทำการจัดพิมพ์ เอกสารทั้งโครงการจนสิ้นสุดสัญญามีจำนวน 2947 ฉบับ คิดเป็นจำนวน 147,350 แผ่น การใช้ระบบ ConZol มาจัดเก็บและอนุมัติเอกสารทำให้มีประโยชน์คุ้มค่า ยั่งยืน ลดปริมาณการใช้กระดาษ ลดการตัดต้นไม้ที่ใช้ทำกระดาษ สนับสนุนแนวคิด Paperless ลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากการผลิตและขนส่งเอกสาร ลดการใช้พลังงานจากเครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ และการขนส่งเอกสาร โดยสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการผลิตและขนส่งเอกสารได้ถึง 8,841 กิโลกรัม CO2 เป็นอย่างต่ำ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากเครื่องพิมพ์ ลดความต้องการใช้เครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ และวัสดุสิ้นเปลืองที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกัน รองรับการทำงานแบบ Remote Working และเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล ระบบออนไลน์ช่วยให้สามารถติดตามเวอร์ชันเอกสาร และบันทึกประวัติการเข้าถึงและอนุมัติเอกสารได้ ลดโอกาสของการปลอมแปลงหรือการสูญหายของเอกสาร เป็นประโยชน์ร่วมของโครงการ คู่ค้าและสิ่งแวดล้อมของโลก โดยคู่ค้ายังสามารถนำระบบและความรู้ที่ได้รับจากการอบรมและใช้งานจริงไปใช้ในโครงการต่อไปได้อีกในอนาคต โดยสรุปประโยชน์หลัก ๆ ได้ดังนี้

นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน

การส่งเสริมให้คู่ค้ามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี

บริษัทมีนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่คู่ค้าอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และเท่าเทียม โดยบริษัทได้แจ้งให้คู่ค้ารับทราบถึงกำหนดระยะเวลาชำระค่าสินค้าและบริการ โดยขึ้นอยู่กับเครดิตเทอมของคู่ค้าแต่ละราย โดยทั่วไปประมาณ 30 – 60 วัน สำหรับปี 2567 ระยะเวลาเฉลี่ยของการชำระเงินให้แก่คู่ค้าที่เกิดขึ้นจริงอยู่ที่ 59 วัน

5.  การดำเนินการด้านภาษี

นโยบายด้านภาษี

บริษัทมีความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการด้านภาษีที่รัดกุม ส่งเสริมการสร้างมูลค่าและคุณค่าสูงสุดให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย มีการเสียภาษีอย่างถูกล้องตามที่กฎหมายกำหนด ดลอดจนมีแนวทางในการวางแผนและปฏิบัติงานค้านภาษี สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ของธุรกิจที่คำเนินการทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้มีส่วน ได้เสียทุกกลุ่ม โดยตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงใช้โครงสร้างภาษีในแนวทางที่ถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษี จึงกำหนดน นโยบายค้านภาษี เพื่อเป็นแนวปฏิบัติทางด้านภาษี และเปิดเผยไว้บนเว็บไซต์ของบริษัท ภายใต้หัวข้อการกำกับดูแลกิจการ > นโยบายการกำกับดูแลกิจการ > นโยบายด้านภาษี

6.  นวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคมและ/หรือสิ่งแวดล้อม

นวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคม

ทีมกรุ๊ปให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาโดยตลอด โดยกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและแนวทางความยั่งยืนขององค์กร ด้วยวิสัยทัศน์ “ผู้นำด้านบริการแบบครบวงจรในภูมิภาค และพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม” บริษัทมุ่งมั่นในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนให้พนักงานเสนอแนวคิดในการพัฒนากระบวนการทำงาน เทคโนโลยี และระบบบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

จากความมุ่งมั่นและตระหนักถึงความสำคัญของ นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการบริษัท จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ ขึ้นเพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมให้การพัฒนานวัตกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร ทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนวัตกรรม ติดตามและสนับสนุนโครงการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท บริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจและสร้างคุณค่าให้แก่สังคม โดยมีหน่วยงานนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ ทำหน้าที่นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร

โครงการของบริษัทในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • บริษัทให้ความสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมการคิดค้นหรือพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นภายในบริษัท โดยจัดตั้งหน่วยธุรกิจลงทุนนวัตกรรม และฝ่ายนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อศึกษาและดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับด้านนวัตกรรมอย่างจริงจัง
  • นำระบบบริหารจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ด้วย Conzol ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยควบคุม จัดการ บริหาร และประสานงานร่วมกันทุกส่วนงาน ช่วยลดขั้นตอน ลดเวลา ลดต้นทุน และลดการใช้กระดาษได้อย่างมีประสิทธิผล และสามารถบริหารจัดการเอกสารเป็นไปอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

ผลการดำเนินงาน 

บริษัทได้พัฒนาและนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน ได้แก่

6.1 การทำงานด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้างด้วยระบบ Building Information Modeling (BIM)

กระบวนการจำลองสภาพโครงการในรูปของ Digital โดยมีขนาดสภาพ ทางกายภาพและฟังก์ชันที่ถูกต้อง ซึ่งทางบริษัทได้นำกระบวนการ BIM มาใช้ในงานออกแบบ และบริหารการก่อสร้างซึ่งช่วยให้งานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นป้องกันความเสี่ยงจาก Human Error ที่จะทำให้งานผิดพลาด

6.2 การถ่ายภาพทางอากาศและทำแผนที่โดยใช้ Drone-based survey

บริษัทได้นำโดรน (Drone) หรือเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle : UAV) มาใช้ในการสำรวจพื้นที่ ตลอดจนการนนำเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมวิศวกรรม และการก่อสร้างด้วยระบบ Building Information Model (BIM) เพื่อเก็บข้อมลู และสร้างแบบจำลองอาคารในระบบสามมิติ ต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์และพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินและสิ่งอำนวยความสะดวก (Asset Management & Facility Management) ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ ลดทั้งต้นทุนและระยะเวลาในการดำเนินโครงการได้เป็นอย่างดี เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและนวตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6.3  การใช้ TEAM-CM inspection application

TEAM-CM inspection application เป็น smart application ที่บริษัทพัฒนาขึ้นสำหรับตรวจรับงานก่อสร้างอาคาร และคอนโดมีเนียมต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กระดาษ (paperless) ใช้ได้ทั้งกระบวนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจสอบ และสร้างความแตกต่างในการให้บริการ

6.4 เทคโนโลยี Digital Twin: 

ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสู่การเป็น ผู้นำด้านบริการแบบครบวงจรในภูมิภาค และพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม ในเดือนธันวาคม ปี 2565 บริษัทร่วมกับพันธมิตรได้ก่อตั้งบริษัท ดี ที เอ็กซ์ จำกัด โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ 50 เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนา ออกแบบ ติดตั้ง วางระบบ บำรุงรักษา เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี Digital Twin โดยพัฒนาแพลตฟอร์มมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Digital Twin คือแบบจำลองในโลกเสมือน (Digital) ที่แสดงสถานะของวัตถุในโลกกายภาพ (Physical) ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกัน ทันสมัย เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการของเจ้าของวัตถุนั้น อาทิ ข้อมูลของอาคารสูงขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ข้อมูลการก่อสร้าง ระบบน้ำ ระบบไฟ และข้อมูลของเมืองเป็นต้น ซึ่งโดยปกติข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกอยู่ในพิมพ์เขียว หรือเก็บไว้ในไฟล์คอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไป แต่ Digital Twin คือการนำข้อมูลหรือพิมพ์เขียวนั้นมาอยู่ในแพลตฟอร์มที่เป็นระบบดิจิตอล สามารถดูได้แบบ Real Time ตลอด 24 ชั่วโมง

ผลการดำเนินนงาน 

ในปี 2567 บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์ม โดยเพิ่มเติมฟังก์ชันใหม่ ดังนี้

  • ฟังก์ชันแจ้งเตือนป้องกันน้ำท่วม โดยอาศัยการตรวจสอบปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมแบบเรียลไทม์ ระบบสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงน้ำท่วมและส่งการแจ้งเตือนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า ช่วยให้สามารถเตรียมมาตรการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสั่งการเปิด-ปิดเครื่องสูบน้ำผ่านระบบออนไลน์ได้
  • ฟังก์ชันการตรวจสอบค่าฝุ่นในนิคมอุตสาหกรรม ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งติดตามทิศทางลมเพื่อประเมินการแพร่กระจายของฝุ่นและสารมลพิษ ระบบนี้ช่วยให้สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า และส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อโรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และสุขภาพของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัท ยังให้ความรู้ด้าน Digital Twin สู่สาธารณชนผ่านการสัมมนา ให้แก่องค์การต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน รวมถึงการบรรยายในสถานศึกษา ต่าง ๆ ซึ่ง Digital Twin เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป ช่วยลดเวลาในการทำงาน และสามารถขยายขอบเขตในการนำข้อมูลดิจิตอลไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยในปี 2567 บริษัทได้บรรยายความรู้ให้แก่บุคคลภายนอกมากกว่า 10 ครั้ง